วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

พระยาช่วยทุกขราษฎร์

พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย)
พระยาทุกขราษฎร์ เดิมชื่อ ช่วย เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนบุตร 3 คนของขุนศรีสัจจัง เกิดที่บ้านน้ำเลือด ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง สำหรับวันเดือนปีเกิดไม่ปราบกฎหลักฐานแต่ประการใด แต่สันนิษฐานว่าคงเกิดในราว พ.ศ. 2282 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ (พ.ศ.2275 - 2301) พระยาทุกขราษฎร์ เมื่ออายุได้ 13 ปี บิดามารดาได้นำฝากเรียนหนังสือกับท่านสมภารวัดควนปรง ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน ด้วยนิสัยรักการศึกษาค้นคว้าหาความรู้มาแต่เด็ก จึงได้บรรพชาในปีนั้น และเข้าศึกษาภาษาไทยขั้นอ่านเขียน และพระธรรมวินัยตามแบบฉบับค่านิจม
เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้อุปสมบทที่วัดเขาอ้อ ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงด้านไสยศาสตร์ เป็นที่นิยมของชาวเมืองต่างส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่วัดนี้เป็นประจำ เชื่อกันว่าพระมหาช่วยได้ศึกษาด้านไสยศาสตร์กับพระอาจารย์จอมทอง ที่วัดเขาอ้อความสามารถที่ปรากฎเมื่อเป็นสามเณร
เล่าสืบกันมาว่า สามเณรช่วยสามารถสอบบาลีผ่านได้เป็น “พระมหา” ตั้งแต่เป็นสามเณร ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักตามหัวเมือง ในขณะที่จำพรรษาที่จัดเขาอ้อ ท่านได้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์อย่างจริงจัง สามารถปฏิบัติได้จนเป็นที่ยอมรับของพระอาจารย์และบรรดาศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ที่พอเสนอรายชื่อเท่าที่ทราบดังนี้
1. หลวงพ่อศรีธรรม์ วัดนาท่าม อำเภอเมืองตรัง
2. ท่านสมภารบัวชาติ (ทราบว่าอยู่จังหวัดชุมพร)
3. ท่านสมภารบัวราม วัดโดนคลาน ปัจจุบันยังคงมีอัฐิของท่านเก็บรักษาไว้ทางด้านทิศเหนือพระอุโบสถ ยังเป็นที่เคารพนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ ปรากฎเป็นที่ทราบกันทั่วไปของชาวบ้านปันแต
ประมาณปี พ.ศ.2315 เมืองพัทลุงย้ายที่ตั้งเมืองจากเขาชัยบุรีไปตั้งใหม่ที่บ้านโคกลุง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เป็นเจ้าเมือง ท่านผู้นี้นเดิมนับถือศาสนาอิสลาม แต่ต่อมาได้เปลี่ยนนับถือศาสนาพุทธ ในช่วงนั้นพระมหาช่วยได้รับนิมนต์มาเป็นสมภารที่วัดป่าลิไลยก์ ประมาณว่าท่านอายุได้ประมาณ 33 ปี และวัดนี้เป็นสำนักสอนภาษาบาลี บรรดาลูกศิษย์ที่เคารพนับถือด้านไสยศาสตร์ก็มาฝากเนื้อฝากตัวมากมาย เช่นเดิม จนปรากฎชื่อแพร่หลายควบคู่ทั้งบาลและไสยศาสตร์ ความสัมพันธ์ด้านส่วนตัวของเจ้าเมืองพัทลุงคงจะสนิทสนมมากขึ้นเพราะเป็นวัดใกล้จวนเจ้าเมืองเป็นพระอธิการอยู่ที่วัดป่าลิไลย ตำบลลำปำ มีชีวิตอยูในสมัยรัชกาลที่ 1 จากพงศาวดารไทยรบพม่า “กองทัพพม่าลงไปรวมกันอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ด้วยเกงหวุ่นแมงยีประสงค์จะไปตีเมืองพัทลุง และเมืองสงขลาต่อไปที่เมืองพัทลุง พระยาแก้วโกรพ ผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองรู้ว่าเมืองนครศรีธรรมราชเสียแก่ข้าศึกก็หลบหนีเอาตัวรอด ครั้งนั้นมีพระภิกษุองค์หนึ่งเป็นอธิการอยูในวัดเมืองพัทลุง ชื่อพระมหาช่วย พวกชาวเมืองนับถือว่าเป็นผู้มีวิชาอาคม พระมหาช่วยชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ข้าศึก รักษาเมือง ทำตะกรุดและผ้าประเจียดมงคลแจกจ่ายเป็นอันมาก กรมการและพวกนายบ้านจึงพาราษฎรมาสมัครเป็นศิษย์พระมหาช่วยมากขึ้นทุกที จนรวบรวมกันได้สัก 1,000 เศษ หาเครื่องศาสตราวุธได้ครบมือกันแล้ว ก็เชิญพระมหาช่วยผู้อาจารย์ขึ้นคานหามยกเป็นกระบวนทัพมาจากเมืองพัทลุง แล้วเลือกหาชัยภูมิที่ตั้งค่ายสกัดอยู่ในทางที่พม่าจะยกลงไปเมืองนครศรีธรรมราช ฝ่ายพม่ายังไม่ยกลงไปจากเมืองพัทลุง ได้ข่าวว่ากองทัพกรุงเทพยกลงไปจากทางข้างเหนือ เกงหวุ่นแมงยี แม่ทัพพม่าจึงให้เนยโยคงนะรัดนายทัพหน้า คุมพลยกกลับขึ้นมาตีกองทัพกรุง ฯ เกงหวุ่นแมงยียกตามมาข้างหลัง กองทัพพม่ามาปะทะทัพไทยที่ตั้งอยู่ ณ เมืองไชยา พม่ายังไม่ทันตั้งค่าย ไทยก็ยกเข้าล้อมพม่าไว้”
เมื่อเสร็จศึกพม่าแล้วพระมหาช่วยสมัครลาสิกขาบทออกรับราชการ กรมพระราชวังบวรฯ ทรงให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ ตำแหน่งในกรมการเมืองพัทลุง
พระยาทุกขราษฎร์ จึงเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจังหวัดพัทลุง ทางจังหวัดพัทลุงและเทศบาลเมืองพัทลุง จึงได้ดำริจัดสร้างอนุสาวรีย์พระยาทุกขราษฎร์ขึ้น เป็นประติมากรรมลอยตัวทองเหลืองรมดำ ขนาดเท่าครึ่ง มีประติมากรรมนูนต่ำ 2 ชิ้น ดำเนินการวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พุทธศักราช 2536 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ณ บริเวณสามแยกท่ามิหรำ ก่อสร้างด้วยเงินบริจาคและงบประมาณสนับสนุนของจังหวัดพัทลุง

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แนวทางในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาหัตถกรรมกะลามะพร้าว



แนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟู พัฒนาหัตถกรรมกะลามะพร้าว
1.การค้นคว้าวิจัย ควรศึกษาและเก็บรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับหัตถกรรมกะลามะพร้าวอย่างเป็นระบบ เช่นจัดทำเอกสาร คู่มือและหลักการประดิษฐ์หัตถกรรมกะลามะพร้าว เพื่อเป็นข้อมูลและหลักฐานในการศึกษาและพัฒนาภูมิปัญญาต่อไป โดยบูรณาการทำงานร่วมกันกับ ช่างฝีมือพื้นบ้าน หน่วยงานงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา
2. การอนุรักษ์ ถึงแม้ว่าการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าวจะมีเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ ขาดช่วงวัยรุ่นหรือเยาวชน ดังนั้นแนวทางการอนุรักษ์จึงควรมุ่งส่งเสริมโดยการปลุกจิตสำนึกคนในท้องถิ่นโดยเฉพาะเยาวชนให้ตะหนักถึงคุณค่าและแก่นสาระ และความสำคัญของภูมิปัญญาการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว
ส่งเสริม สนับสนุนและสืบทอดการนำภูมิปัญญาการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว
3. การฟื้นฟู โดยการคัดเลือกหัตถกรรมกะลามะพร้าว ที่สามรารถใช้ประโยชน์ได้ โดยการ มาส่งเสริมหรือฝึกอบรมให้มีการ ส่งเสริมให้ใช้ผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว เพื่อไม่ให้สูญหายไป โดยร่วมมือกับสถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
4. การพัฒนา ควรริเริมสร้างสรรค์ภูมิปัญญาการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว ให้เหมาะสมกับยุคสมัยและเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิต โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นพื้นฐาน และส่งเสริมให้การนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อต่อยอดในการผลิต การตลาด และการบริหาร ตลอดจนการป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับสถานศึกษา หน่วยงาน องค์กรภาครัฐเอกชน
5. การถ่ายทอดการถ่ายทอดความรู้ศิลปะการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยเริ่มต้นจาการถ่ายทอดแก่บุคคลในครอบครัว และถ่ายทอดสู่เยาวชนและประชาชน ตลอดจนผู้สนใจ
6. การส่งเสริมกิจกรรมและการเผยแพร่แลกเปลี่ยน โดยส่งเสริมให้เกิดการเผยแพร่ภูมิปัญญาด้านการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าวและการแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว เช่น การศึกษาดูงาน การเยี่ยมชม กลุ่มหัตถกรรมต่างๆ ทั้งในภาคใต้และท้องถิ่นอื่นๆ ทั่วประเทศ ในการเปิดโลกทัศน์และแนวคิดจากภายนอกเพื่อนำมาปรับใช้เพื่อความยั่งยืนต่อไป
7. การยกย่องและเสริมสร้างปราชญ์ด้านการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว โดยการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของชาวบ้าน ผู้ดำเนินงานให้มีโอกาสแสดงศักยภาพด้านภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มีการยกย่องประกาศเกียรติคุณในลักษณะต่างๆ เพื่อให้ปราชญ์ท้องถิ่นเกิดความภาคภูมิใจและกำลังใจในการดำเนินการด้านภูมิปัญญา รวมทั้งสร้างสรรค์ผลงานด้วยความเต็มใจ
บรรณานุกรม

กันหา สวัสดี. ศึกษาหัตถกรรมพื้นบ้านของชุมชนคีรีวง ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา
จังหวัด นครศรีธรรมราชผ้าทอเกาะยอ . วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต,สาขา
ไทยคดี ศึกษา, มหาวิทยาลัยทักษิณ,2549
คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, สำนักงาน.ภูมิปัญญาไทยในการสร้างสรรค์งาน
หัตถกรรม จากกะลามะพร้าว. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพ : การศาสนา, 2545
ปลื้ม ชูคง สัมภาษณ์, 12 กันยายน 2552
พรชัย สุจิตต์ และสุธิวงศ์ พงไพบูลย์ .”หัตถกรรมพื้นบ้านภาคใต้”.ในสารานุกรม
วัฒนธรรม ไทยภาคใต้ พ.ศ. 2542 เล่ม10.สงขลา : สถาบันทักษิณคดีศึกษา
น่วม ชูคง สัมภาษณ์, 12 กันยายน 2552
วัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง, สำนักงาน.งานช่างฝีมือพื้นบ้าน หัตถกรรมกะลามะพร้าว
ปลื้ม ชูคง เอกสารถ่ายสำเนา) , 2549
วิบูลย์ ลี้สุวรรณ.ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน., กรุงเทพมหานคร:คอมเพคท์พรินท์ จำกัด,2542
www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=86

หัตถกรรมกะลามะพร้าว ต่อภาวะโลกร้อน



ภูมิปัญญาหัตถกรรมกะลามะพร้าว ต่อภาวะโลกร้อน
หัตถกรรมกะลามะพร้าวเป็นงานที่ใช้ฝีมือในการผลิต และเป็นการใช้วัสดุธรรมชาติในการผลิต การทำหัตถกรรมกะลามะพร้าวสามารถช่วยลดโลกร้อนได้ด้วยเหตุผลดังนี้
1.ช่วยลดมลภาวะที่เกิดจากการทำลายกะลามะพร้าว : ในอดีตนำไปเผาทำลายทำให้เกิดควันทำให้เกิดมลพิษ นำกะลาที่เหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทำเป็นงานหัตกรรมก่อให้เกิดรายได้ ไม่เกิดมลภาวะ
2. ลดปริมาณขยะในชุมชน กะลาที่เหลือใช้นำไปทิ้งเป็นขยะ การนำกะลามาเพิ่มมูลค่า ด้วยการทำให้ปริมาณจากขยะซึ่งเกิดจากกะลามะพร้าวลดน้อยลง
3 .ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง เป็นการช่วยในการลดการกระจายของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิดมลภาวะเป็นพิษ ใช้แรงงานจากบุคคล ในการผลิต มากกว่าใช้เทคโนโลยี และไม่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ใช้เครื่องมือที่ไม่ใช้พลังงานมาก
4 ไม่ตัดไม้ทำลายป่า กะลามะพร้าวเป็นวัสดุธรรมชาติและวัสดุเหลือใช้ เป็นไม้เนื้อแข็ง ที่มีอยู่แล้ว การทำหัตถกรรมไม่ต้องตัดไม้เพิ่มไม่ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ
5 ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ เพราะต้นไม้ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กะลามะพร้าว เป็นส่วนประกอบของต้นมะพร้าว ถ้าคนใช้ผลิตภัณฑ์จากหัตถกรรมกะลามะพร้าวมาก ความต้องการในการปลูกมะพร้าวมากขึ้นตามลำดับ เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว
6.ทำปุ๋ยนำเศษวัสดุที่เหลือจากการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว มาทำปุ๋ย
7 ลดการใช้วัสดุ ที่มีส่วนประกอบของ ซีเอฟซี โดยการใช้ภาชนะจาก กะลามะพร้าวแทนการใช้ ภาชนะโฟมบรรจุอาหาร
8 .การรวมกลุ่มอาชีพ : รวมกลุ่มสร้างตลาดผู้บริโภค-ผู้ผลิตโดยตรงในท้องถิ่น เพื่อลดกระบวนการขนส่งผ่านพ่อค้าคนกลางที่ต้องใช้พลังงานและน้ำมันในการคมนาคมขนส่งงานหัตถกรรมไปยังตลาด
9.วิถีชีวิต : ดำรงชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ส่งเสริมให้คนมีความอ่อนโยน
ต่อธรรมชาติ ,เรียบง่าย,พอเพียง ไม่ตกเป็นทาสของกระแสบริโภคนิยมและวัตถุนิยม ที่มุ่งตักตวงผลประโยชน์จากธรรมชาติ

คุณค่าของหัตถกรรมกะลามะพร้าว



คุณค่าของหัตถกรรมกะลามะพร้าว มีคุณค่าหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
1 คุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรม การทำหัตถกรรมกะลามะพร้าวที่เกิดขึ้นทั้งภายในครอบครัว ภายในชุมชน และภายนอกชุมชน ก่อให้เกิดความรักความสามัคคี และเป็นอันหนึ่งอันเดี่ยวกัน ความผูกพัน ความรักและความภาคภูมิใจในท้องถิ่น และเป็นการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมให้ก้าวหน้าและคงอยู่สืบไป สามารถสร้างสังคมให้สันติสุข ตั้งแต่ ครอบครัว ชุมชน และเป็นการสร้างความสมันพันธ์ระหว่างชุมชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2 คุณค่าด้านศาสนาและปรัชญา การเคารพนับถือเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ โดยการนำกะลามาแกะสลัก เป็นองค์ต่าง ๆ เช่นจตุคามรามเทพ ราหู และ กะลาตาเดียวที่ไม่ผ่านการปลุกเสก มาเคารพนับถือ บูชาเพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว
3 คุณค่าด้านเศรษฐกิจ สามารถสร้างคุณค่าเศรษฐกิจสร้างงาน สร้างรายได้และเป็นการสร้างอาชีพ
4 คุณค่าด้านการสร้างจิตนิสัย การทำหัตถกรรมกะลามะพร้าวสามารถสร้างความอดทน ความสามัคคี การมีจิตใจเอื้ออารี ความขยันหมั่นเพียร ความประหยัด และสามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
5. คุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอย การนำกะลามาสร้างเป็นประโยชน์ใช้สอยที่เหมาะสมกับการใช้งานและวิถีชีวิต

การถ่ายทอดภูมิปัญญา

การถ่ายทอดภูมิปัญญา
การถ่ายทอดความรู้ด้านหัตถกรรมกะลามะพร้าว เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยเริ่มต้นจาการถ่ายทอดแก่บุคคลในครอบครัว และถ่ายทอดสู่เยาวชนและประชาชน ตลอดจนผู้สนใจจากการสัมภาษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น พบว่า มีการให้ความรู้และข้อมูลแก่นักเรียน นักศึกษาและผู้สนใจ ผู้สนใจที่มาดูงานที่กลุ่ม มีการส่งวิทยากรไปให้ความรู้เกี่ยวกับการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว การประสานงานกับโรงเรียนในชุมชนที่มีการสอนทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว การสอนความรู้และศิลปะการผลิตหัตถกรรมกะลามะพร้าวให้ลูกหลานในชุมชน และรับนักศึกษามาฝึกงานที่กลุ่ม
การให้ความรู้เกี่ยวกับการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว ในลักษณะที่หลากหลาย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายของกลุ่มที่ต้องการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรมีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับทักษะเทคนิค กรรมวิธีต่าง ๆ ในการผลิต รวมถึงการแสวงหาแนวทางที่จะปลูกฝังให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักในคุณค่าของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น มีความสามารถที่จะศึกษาค้นคว้าเพื่อนำมาปรับปรุงประยุกต์กับวิทยาการสากลและสภาพในปัจจุบันและอนาคต การถ่ายทอดความรู้และศิลปะการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว เป็นการสาธิตและฝึกปฏิบัติสอนความรู้เกี่ยวกับการผลิตหัตถกรรมกะลามะพร้าว สอนแบบตัวต่อตัว ทั้งกระบวนการผลิตและวิธีดูแลรักษาอุปกรณ์ เป็นวิธีสอนตั้งแต่ขั้นตอนง่ายสู่ขั้นตอนยาก ผู้เรียนต้องมีความตั้งใจและมุ่งมั่นพยายามจนเกิดทักษะความชำนาญเพื่อที่จะได้สืบทอดภูมิปัญญาที่มีคุณค่าต่อไป
ตัวอย่างหน่วยงานที่ได้รับการถ่ายทอดและมีส่วนสืบทอดภูมิปัญญา
โรงเรียนพรหมพินิตชัยบุรี ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
โรงเรียนพรหมพินิตชัยบุรี เป็นสถาบันการศึกษาที่หนึ่งที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าของภูมิปัญญาการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว จึงได้เปิดสอนในโรงเรียนขึ้นและได้เชิญวิทยากรนายปลื้ม ชูคง ไปสอนหลักสูตรการทำหัตถกรรมกะลามะพร้าวในวิชาการการงานพื้นฐานอาชีพ แก่นักเรียน
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดจังหวัดพัทลุง
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทในการค้นคว้า วิจัย อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา การถ่ายทอด และต่อยอดภูมิปัญญา เช่นส่งเสริมช่างฝีมือพื้นบ้านหัตถกรรมกะลามะพร้าว โดยการจัดนิทรรศการและสาธิตการผลิตหัตถกรรมกะลามะพร้าวเนื่องในโอกาสวันสำคัญและเทศกาลต่าง ๆ เช่น สาธิตการผลิตหัตถกรรมกะลามะพร้าวเนื่องในงานอนุรักษ์มรดกไทย การสาธิตและนิทรรศการเนื่องในงานกาชาดประจำปีของดีเมืองลุง และดำเนินการจัดเก็บข้อมูลช่างฝีมือพื้นบ้าน เพื่อเตรียมประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นการปกป้องคุ้มครอง ส่งเสริมและสืบทอดมรดกภูมิปัญญาการทำหัตถกกรรมกะลามะพร้าว และเผยแพร่ข้อมูลองค์ความรู้งานช่างฝีมือพื้นบ้านหัตถกรรมกะลามะพร้าวด้วยสื่อแผ่นไวนิล พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตในระบบศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม ที่เว็บไซด์ www.pt-culture.go.th

ภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์งานหัตถกรรมกะลามะพร้าวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต



ภูมิปํญญาในการสร้างสรรค์งานหัตถกรรมกะลามะพร้าวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต

การสร้างสรรค์หัตถกรรมกะลามมะพร้าวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต มีดังนี้
1.ภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับการประกอบอาหาร การนำกะลามะพร้าวมาผลิตเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน เนื่องจากกะลาเป็นวัสดุที่หางายในท้องถิ่น จึงนำมาเป็นเครื่องใช้ได้ทุกประเภท
2. ภูมิปัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย การนำกะลามะพร้าวมาสร้างสรรค์งานในการตกแต่งบ้านเรือนที่มีรูปแบบหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมแต่ละท้องถิ่นทีสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตผู้คน สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือประเภทตั้งโชว์ และประเภทของใช้ในบ้าน
3. ภูมิปัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องนุ่งห่ม รูปแบบในการสร้างสรรค์หัตถกรรมกะลามะพร้าว เป็นเครื่องประดับตกแต่งร่างกายที่ก่อให้เกิดความสวยงามที่มีรูปแบบหลากหลาย
เช่นกระดุม สร้อยคอ ปิ่นปักผม
4. ภูมิปัญญาเกี่ยวกับความสุนทรีย์ เครื่องดนตรีไทยได้นำกะละมาเป็นส่วนประกอบเป็นเครื่องดนตรีไทยของภาคกลางเช่น ซออู้ ซอสามสาย และเครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ เช่นสะล้อ ซึง
5. ภูมิปัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาและความเชื่อ การนำหลักธรรมทางศาสนามาสร้างสรรค์งานหัตถกรรมของคนที่นับถือศาสนาพุทธ ด้วยความเชื่อว่ากะลาตาเดียวเป็นเครื่องรางของขลัง ที่มีพุทธคุณหลากหลาย โดยนำกะลาตาเดียวมาแกะสลักเป็นพระราหูอมจันทร์ และนำกะลาตาเดียวมาแกะสลักและเป็นส่วนผสมขององค์จตุคามรามเทพ
6.ภูมิปัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับแพทย์แผนไทย การแก้ไขปัญหาสุขภาพ โดยการนำกะลามะพร้าวซีกตัวผู้ซึ่งนิยมใช้เป็นคู่นำมาเป็นอุปกรณ์นวดผ่าเท้าเพื่อช่วยในการกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพซึ่งเป็นภูมิปัญญาวิถีปฏิบัติขอแพทย์แผนไทย
7 .ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการละเล่น การละเล่นพื้นบ้านโดยการนำกะลามาซึ่งเป็นวัสดุที่หาง่ายเป็นสื่อเสริมการเล่นของเด็กที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาและจิตใจและสังคม และเกิดความสนุกสนานร่าเริง

การเปลียนแปลงด้านอุปกรณ์และเครื่องมือการผลิต




การเปลี่ยนแปลงด้านอุปกรณ์และขั้นตอนการผลิต
1. วัตถุดิบในการผลิต การผลิตหัตถกรรมกะลามะพร้าว ในระยะเริ่มแรกนิยมใช้ย่านลิเพา ใช้แทนเป็นเชือกสำหรับผูกไม้กับกะลามะพร้าวเพื่อประกอบทำด้าม หรือทำชิ้นส่วนอื่นๆ โดยย่านลิเพาเป็นวัสดุที่หาได้ในพื้นที่ การเลือกย่านลิเพราต้องมีความชำนาญในการเลือกโดยเฉพาะการเลือกขนาดให้เหมาสมกับการใช้งาน เส้นของย่านลิเพาไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป และจะต้องเหลาให้เกลี้ยง บางครั้งต้องดึงเพื่อให้ย่านลิเพราะตึง เพื่อสะดวกในการใช้งาน ปัจจุบันใช้เชือกไนลอน หรือด้ายที่มีความคงทนมาผู้แทนย่านลิเพา เพราะเชือกไนลอนหาซื้อได้สะดวก และมีความรวดเร็ว สามารถเลือกขนาดของเส้นไนลอนได้ตามความต้องการไม่ต้องเสียเลาในการเลือกหา และสามารถใช้ได้ทันที ช่างฝีมือปัจจุบันนิยมใช้เชือกประกอบการผลิต แต่ถ้าลูกค้าต้องการใช้วัสดุธรรมชาติก็ใช้ย่านลิเพาแทน
2. เครื่องมือสำหรับทำหัตถกรรมกะลามะพร้าว ระยะเริ่มแรกใช้วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และใช้เครื่องมือพื้นฐานทั่วไป เช่นนำใบไม้ โดยเฉพาะใบรสสุคนธ์ มาใช้ในการขัดถูกะลาให้มีความเกลี้ยงเกลา งดงาม และใช้ มีด พร้า ตกแต่งให้สวยงามตามความพอใจ ปัจจุบันใช้เครื่องมือหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับชิ้นงาน เครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่ มอเตอร์ขัด เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในการผลิต เพราะสร้างความรวดเร็วในการทำงานแต่ผู้ผลิตก็ต้องมีสมาธิ มีประสบการณ์ และมีความชำนาญในการใช้มอเตอร์ขัดเป็นพิเศษ
การพัฒนาต่อยอดรูปแบบผลิตภัณฑ์
ในอดีตมีแต่การผลิตหัตถกรรมกะลามะพร้าวโดยไม่ได้สร้างสรรค์เติมแต่งลวดลายมากนัก เป็นเพียงเครื่องใช้ในครัวเรือนที่เหมาะกับการใช้งานเท่านั้น เช่น ทนายตวงข้าวสาร แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาต่อยอดแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นต่างๆ มากมาย หลายรูปแบบ เช่น โคมไฟ กระปุกออมสิน กระเป๋า เข็มขัด ตุ้มหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ แจกัน พวงกุญแจ เป็นต้น ซึ่งสามารถนำคุณค่ามาสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เป็นผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมที่สร้างความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและของประเทศ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจที่ได้เป็นอย่างดี